วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

ผลกาซ่าเลือดน่องแผ่นดิน - เหตุยิวเปลืองแค่น้ำลายปลายลิ้น

สำนักข่าวมุสลิมไทย กาซ่าหลั่งเลือด - ยิวเปลืองน้ำลาย
www.muslimthai.com

โมเช่ ชาเล็ต จากหนังสือ The Birth Of Israel  ตีพิมพ์เมื่อ 1987 หน้า 51
คอลัมนิสต์ ซาฟีอี สาสนพิจิตร์ (13 มกราคม 2009)

 “ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงมองโลกในแง่ดีนัก  
ทำไมพวกอาหรับถึงต้องยอมอยู่เฉยๆ ? 
- ถ้าผมเป็นผู้นำอาหรับนะ  ผมจะไม่มีวันเจรจากับอิสราเอลเป็นอันขาด  เป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ยากเลยอยู่ๆเรา (ยิว) ไปฉกเอาประเทศของพวกเขา(ปาเลสไตน์) มาเป็นของเรา  โดยอ้างว่าพระเจ้ามอบให้พวกเรา  
ทำไมอาหรับต้องแคร์เรา ก็พระเจ้าของเราอยู่ตรงนั้นเสียเมื่อไหร่ล่ะ  ใช่..เรามาจากเผ่าพันธุ์อิสราเอล..แล้วไง..เรื่องเล่านี่มันตั้งสองพันกว่าปีมาแล้ว ชนชาติยิวเคยถูกนาซี ต่อต้านมาแล้ว ฮิตเลอร์ถึงได้สร้างค่ายกักกันที่เอ๊าซ์วิช .แล้วพวกนั้น (บรรดาพวกผู้นำยิวไซออนิสต์หัวแข็งบางคน) ผิดพลาดตรงไหน..? 
- ก็ผิดตรงที่พวกเขาคิดเอาแต่ได้ คิดง่ายๆว่า ชาวยิวไปที่นั่นพออาหรับเผลอ ก็ขโมยประเทศของพวกเขา มาเป็นของเรา พวกนั้นคิดหรือว่าพวกอาหรับจะยอมพวกคุณง่ายๆ... ? “ 

          นั่นคือตอนหนึ่งจากหนังสือ ชื่อ The Jewish Paradox : A Country Why Should They accept that  หน้าที่ 99  บันทึกเรื่องราวภายในองค์กรยิวไซออนิสต์ ก่อนตั้งรัฐยิวบนดินแดนปาเลสไตน์ บันทึกโดย นาฮุม โกลด์แมน สมาชิกอาวุโสองค์กรยิวไซออนิสต์

        หนังสือเล่มนี้ แปลจากภาษาฮิบรู โดย สตีฟ ค๊อก  ข้อความในบันทึกนั้นเป็นการถกเถียงกันระหว่างผู้นำสมาคมยิวไซออนิสต์ ที่กำลังเตรียมแผนการก่อตั้งรัฐยิว เดวิด เบนกูเรียน เสนอว่าให้ขโมยดินแดนปาเลสไตน์มาตั้งรัฐยิวเอาดื้อๆ โดยอ้างว่าพระเจ้าของพวกยิวมอบดินแดนแห่งนี้ให้แก่ลูกหลานอิสราเอล 
        แต่นาฮุม โกลแมน ซึ่งเป็นผู้นำอีกคนหนึ่งคัดค้าน และเห็นว่าการกระทำเช่นนี้จะถูกต่อต้านจากเจ้าของดินแดน คำทักท้วงของนาฮุม โกลแมน ยังคงเป็นความจริงที่ดำรงอยู่ในวันนี้     

       ในโลกด้านที่ยุติธรรมมองการโจมตีของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์กาซ่าว่าเป็นการก่อ “อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ” อิสราเอลนั้นบัดนี้อยู่ในโลกคนละโลกกับพวกเรา โลกของพวกเรามี มติสหประชาชาติ-กฎหมายระหว่างประเทศ-สนธิสัญญาเจนีวา-และกฎหมายว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ให้ยึดถือ แต่อิสราเอลกลับเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไร้ความหมาย

       ในช่วงเวลาที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เปื้อนเลือด ของนายกรัฐมนตรีโอลเมิร์ต เขาเล่นงานเลบานอนเมื่อสองปีก่อน คราวนี้ถล่มกาซ่า การซ่าที่อิสราเอลบอกโลกว่ามีพิษสงร้ายกาจ สำนักข่าวกระแสหลักที่สนับสนุนอิสราเอลอย่าง CNN FOX CNBC และ AP มักให้เหตุผลต่อท้ายการรายงานข่าวการโจมตีของอิสราเอลทุกครั้งว่า ทำไปเพื่อเป็นการตอบโต้ที่ฮามาส โจมตีอิสราเอลด้วยจรวด Home Made ที่เรียกว่า ก๊อตซามร๊อกเก๊ต เป็นภาคบังคับในการเสนอข่าวตลอดมา จรวดก๊อตซามของฮามาสที่นักข่าวอิสระที่ได้เห็นมันอดไม่ได้ที่จะอมยิ้มเพราะที่จริงมันมีอานุภาพทำลายไม่มากไปกว่าระเบิดที่ทำจากดอกไม้ไฟ (บ้านเราน่าจะเรียกว่าบั้งไฟ) มันเป็นอาวุธทำเองที่บ่อยครั้งก็ระเบิดใส่ทั้งคนทำ และคนยิง มันจึงเป็นเพียงแค่การต่อสู้ทางสัญลักษณ์ และผลทางจิตวิทยา มากกว่าการต่อสู้เพื่อหวังผลในการทำลายล้าง 

      อิสราเอลอ้างเสมอว่าฉนวนกาซ่าเป็นแหล่งซ่องสุมผู้ก่อการร้าย ที่จริงเป็นเพียงกาซ่าที่แม้จะยืนด้วยตัวเองก็ยังไม่ได้ เพราะถูกปิดล้อมจนอดอยากยากไร้ไม่มีน้ำไม่มีไฟฟ้า มาตั้งแต่ปี 2007 เป็นกาซ่าที่ถูกจับยัดใส่กรงขังมานาน ไม่มีน้ำสะอาด ไม่มีอาหาร ไม่มียา ที่เพียงพอ โจมตีกาซ่าคราวนี้ ของโอลเมิร์ตจึงสมควรถูกเรียกว่า “หายนะของมนุษยชาติ”

     ดังคำพูดที่เลขาธิการ UN นายบันคีมูน เรียกขาน รายงานออกมามากมายที่ยืนยันว่า การโจมตีครั้งนี้ไม่ใช่การตัดสินใจฉุกเฉิน แต่มันถูกเตรียมการมานาน 6 เดือน... ! และเรื่องนี้ไม่ได้ปิดเงียบอยู่แต่ในรัฐบาลอิสราเอล แต่อับบาส ผู้นำ PA. และมุบาร๊อก ผู้นำตลอดกาลของอียิปต์ ก็รู้ดีว่าสักวัน อิสราเอลต้องลงมือเช่นนี้ 

     ตลอดระยะเวลาในข้อตกลงหยุดยิงเมื่อ ปี 2007 ต่อเนื่อง 2008 ได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดจากฝ่ายฮามาสมากกว่าอิสราเอล เรื่องนี้มิได้เป็นการกล่าวหาอย่างไร้หลักฐาน แต่สามารถยืนยันการตรวจสอบการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ได้จากองค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนนานาชาติ หรือแม้แต่องค์กรเพื่อสิทธิมนุษยชนของอิสราเอลที่ว่า องค์กรเบ็ธซาเล็ม เองก็มีบันทึกการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวปาเลสไตน์โดยอิสราเอลไว้้ด้วยเช่นกัน

    หนังสือพิมพ์อิสราเอลรายงาน เมื่วันที่ 27 เดือนมิถุนายน 2008 ว่า องค์การสหประชาชาติ ได้รายงานว่า กองทัพบกอิสราเอลได้ทำการละเมิดข้อตกลง อย่างน้อย 7 ครั้ง โดยการใช้กำลังทหารผลักดันเกษตรกรชาวปาเลสไตน์ให้ออกจากพื้นที่ใกล่ชายแดนด้วยการใช้อาวุธข่มขู่และสังหารชาวปาเลสไตน์

    อิสราเอลยังใช้วิธีการที่เรียกว่า “ตัดสินประหารชีวิตด้วยวิธีการลอบสังหาร” ที่เรียกว่า ““extrajudicial assassinations” ซึ่งเป็นอาชญากรรมที่ผิดกฎหมาย ด้วยการสั่งให้ปลิดชีพผู้นำฮามาสในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2008 ซึ่งทำให้ผู้นำฮามาส 2 คนเสียชีวิต ประชาชน 4 คนได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมถึงผู้หญิงคนหนึ่งในระหว่างที่อิสราเอลบุกเมือง ญุห์ร อัดดีก, การยิงจรวดโจมตีที่เมืองคานยูนิส และทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก การแถลงของโฆษกกองทัพอิสราเอลที่อ้างว่าการบุกครั้งนั้นเพื่อป้องกันให้ข้อตกลงหยุดยิงถูกปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

     นอกจากจะเป็นเรื่องโกหกที่ขัดต่อหลักฐานของสหประชาชาติแล้ว ยังเป็นการจงใจปกปิดการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย

    บทความชิ้นหนึ่งปรากฎในหนังสือพิมพ์อิสราเอล ชื่อ ฮาอะเร็ตซ์ ฉบับวันที่ 28 เมษายน 2008 โดยแบรดลีย์ เบอร์สตัน เขียนบทความโดยเรียกกองทัพอิสราเอลว่า  “กองทัพของเรา..สงครามที่เป็นอาชญากรรมของเรา..ผู้ก่อการร้ายของเรา..”

     ในบทความเบิร์สตันเขียนอธิบายว่าหทารอิสราเอลชั่วร้ายแค่ไหน ด้วยการวาดภาพให้เราเห็นว่า

      ทหารอิสราเอลใช้ลูกกระสุนปืนใหม่ ที่ทันสมัยที่สุด ที่มีอานุุภาพในการทำลายมากที่สุด ยิงใส่บ้านของชาปาเลสไตน์หลังหนึ่งใน เมืองบีท ฮานูน ในฉนวนกาซ่า ขณะที่แม่บ้านกำลังปรุงอาหารเช้าให้ลูกๆของเธอ คนโต 6 ขวบ รองลงมา 4 และ 3 ขวบ คนสุดท้องมีอายุเพียง 15 เดือน ทั้งหมดถูกสังหารเสียชีวิตทันที และโลกก็ได้เห็นภาพอันน่าสลดใจนี้

      เบอร์สตันบรรยายต่อไปว่า “แต่อาชญากรรม..ที่จริงน่าจะเรียกว่า ความชั่วช้าสามานย์ ยังเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ภายใต้สถานการณ์เดิมๆ ข้ออ้างเดิมๆว่าทำไปเพื่อปกป้องข้อตกลงหยุดยิง”

      เป็นธรรมเนียมปฏิบัติทางการต่างประเทศ ที่่ทั้งสหรัฐและอิสราเอล ต้องออกมาลอยหน้าลอยตาตำหนิฮามาส ว่าเป็นต้นตอของการสังหารหมู่ แล้วก็โกหกหน้าตาเฉยว่าฮามาสทำดินระเบิดที่เตรียมไว้ทำจรวดระเบิดเองจนมีผู้บาดเจ็บล้มตาย เอฮุด บารัค รัฐมนตรีกลาโหม ในฐานะเจ้าของแผนการสังหารโหดปาเลสไตน์ในฉนวนกาซ่าครั้งนี้ กล่าวอย่างหน้าไม่อายว่า “เราเห็นว่าฮามาสควรเป็นผู้รับผิดชอบต่อเหคุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด”

     ในช่วงเวลา 8 ปีที่ผ่านมา ฮามาสได้สร้างจรวดชนิดทำมือขึ้นมา เรียกว่า ก๊อตซาม ร๊อคเก็ต มันเป็นจำเลย เพราะถูกกล่าวหาว่า มีการยิงจรวดก๊อตซามจากกาซ่าไปสู่อิสราเอล ทำให้ชาวอิสราเอล 17 คนเสียชีวิต ในรอบ 6 ปี ที่ผ่านมา สมมติว่าข้อมูลอิสราเอล เป็นความจริง ลองมาเปรียบเทียบความสูญเสียกันหน่อยว่า ขณะที่ชาวปาเลสไตน์เจ้าของแผ่นดินต้องสังเวยชีวิตแลกกับความป่าเถื่อนของอิสราเอล เพียงวันเดียว (27 ธันวาคม 2008) ถึง 300 กว่าคน บาดเจ็บสูญเสียอวัยวะอีกกว่า 1,400 คน (ขณะที่เขียนบทความอยู่นี้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 900 คน)

     แล้วถ้านับสองปีที่กาซ่าถูกปิดล้อมทางเศรษฐกิจ ที่ทำให้ประชาชน พลเรือนชาวกาซ่า 1.5 ล้านคน ขาดแคลนปัจจัยจำเป็นพื้นฐานต่อการดำรงชีพ อิสราเอลใช้สื่อสหรัฐ ที่หนุนหลังสร้างภาพลวงตา  โดยโยนความผิดให้ผู้ถูกกระทำ กล่าวตำหนิประชาชนชาวกาซ่า และอ้างเหตุผลที่โกหกพกลม ปั้นน้ำเป็นตัวผ่านสื่อโลกอย่างนาไม่อาย

    คำถามก็คือ..อิสราเอลชิ่งหนีความรับผิดชอบไปได้อย่างลอยนวล ด้วยวิธีโจมตีก่อนแบบหน้าด้านๆไร้ยางอายเช่นนี้ อิสราเอลอธิบายกับชาติตะวันตกอย่างไร ?

    อิสราเอลล๊อบบี้พวกชาติมหาอำนาจอย่างไร ?

    เรื่องนี้ ศาสตราจารย์จอร์น เมชเชอร์มายเยอร์ และสตีเฟน วอลท์ มีคำตอบ “อิสราเอลล๊อบบี้ โดยใช้เครื่องมือหลายชนิด การเงิน การเมือง และอิทธิพลด้านสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสื่อสหรัฐ ไม่เว้นแม้แต่สื่อยุโรป เนื้อหาสาระสำคัญ ที่อิสราเอลอัดฉีดความคิดมนุษย์ในโลกตะวันตกผ่านสื่อในมือ ได้แก่ 

1. เพื่อสั่งสอนบทเรียนให้อยู่เงียบๆไม่ต่อต้านการยึดครองของอิสราเอล 
2. โค่นล้มระบอบก่อการร้ายและสถาปนาประชาธิปไตย 
3. ฆ่าประชาชนจำนวนหนึ่งที่เพียงพอจะกดดันให้ระบอบเหล่านั้นสละอำนาจ 
4. ข้อสุดท้าย อิสราเองมีสิทธิอย่างเต็มที่ที่จะป้องกันตัวเอง

      เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่สหรัฐใช้อ้างในการเข้ารุกรานอิรัก นักการเมืองในโลกตะวันตกพร่ำพูดซ้ำๆซากว่าเป็นการกระทำที่ยุติธรรม ขณะที่สื่อตะวันตกพยายามสร้างภาพว่าอิสราเอลได้รับความทุกข์ยากจากการต่อต้านของปาเลสไตน์ ฝ่ายปาเลสไตน์ต่างหากที่ไม่เคารพในคุณค่าความเป็นมนุษย์ นั่นคือภาพที่สื่อตะวันตกปั่นให้ทั้งโลกคล้อยตาม

     ขณะที่กาซ่ากำลังหลั่งเลือดนองแผ่นดิน แต่จอร์จ ดับยา บุช ได้รับอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดในนามประชาชนชาวซาอุดิอารเบียและคอนดิ คอนโดลิซ่า ไรท์ ได้รับรางวัลจากซาอุดิอารเบีย ประเทศสมาชิกอ่าวเปอร์เซีย และจอร์แดน ในการอำลาตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ด้วยเครื่องเพชรมูลค่าเกือบ 400,000 เหรียญสหรัฐ (14 ล้านบาท โดยประมาณ)

    ในบทบาทของทั้งสองที่สนับสนุนอิสราเอลอย่างสุดตัวให้ “อิสราเอลมีสิทธิในการป้องกันตัวเอง”  ซึ่งแปลได้ว่า อิสราเอลจงสังหารหมู่ผู้บริสุทธิ์ในกาซ่าต่อไปจนกว่าฮามาสจะถูกกำจัดจนสิ้นซาก ..ระเบิดที่ทันสมัยที่สุด กับการทูตโง่ๆของนักการเมือง ไม่มีมีวันนำสันติภาพมาสู่โลก  

    ทั้งผู้นำอาหรับและสหรัฐ รู้และเข้าใจถึงอำนาจและอิทธิพลของอิสราเอล และอำนาจจากมือที่มองไม่เห็นที่ล็อบบี้ให้ต่อต้านใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอิสราเอล

    ..ผลก็คือ ฆาตกรอิสราเอลยังลอยนวลอยู่ต่อไป อดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอล โมเช่ ชาเล็ต สร้างภาพให้เห็นถึงการขยายตัวของลัทธินิยมทหารของอิสราเอล

    เมื่อกล่าวว่า “ผมได้เรียนรู้ว่า รัฐอิสราเอลไม่สามารถอยู่ได้ด้วยระบอบการปกครองแบบทั่วๆไป โดยปราศจากการเล่ท์กระเท่ การกลิ้งกลอก และลัทธิยมความเสี่ยง”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น