วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

ปัญหาปาเลสไตน์-อิสราเอลครั้งใหม่จุดประทุการก่อการร้ายปี 2552

ปัญหาปาเลสไตน์-อิสราเอลครั้งใหม่จุดประทุการก่อการร้ายปี 2552

สำนักข่าวมุสลิมไทย ปัญหาปาเลสไตน์-อิสราเอลครั้งใหม่จุดประทุการก่อการร้ายปี 2552
www.muslimthai.com

เรียบเรียง อ.อับดุชชะกูรฺ บิน ชาฟิอีย์  (อับดุลสุโก ดินอะ) 

        ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสดามูฮัมมัด  ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

        ทันทีที่ข่าวฝูงบินรบของอิสราเอลกระหน่ำโจมตีดินแดนฉนวน กาซาของปาเลสไตน์ (อาหรับจะอ่านว่า "ฟิลิสตีน)ในปลายปี 2551 (ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย  300 คน ) ถือว่าเป็นวันนองเลือดครั้งใหญ่ที่สุดของวิกฤตความขัดแย้งตะวันออกกลางที่ยืดเยื้อยาวนานกว่าหลายทศวรรษและจะส่งผลกระทบต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งและสันติภาพของโลกตลอดปีใหม่ 2552 อย่างแน่นอน (ท่านคงจะเห็นภาพความสูญเสีย ความโกรธแค้น   การประท้วงและปฏิกิริรยามากมายผ่านจอโทรทัศน์และโลกไซเบอร์)

ลำดับปัญหาความขัดแย้งปาเลสไตน์-อิสราเอลโดยสังเขป
        แผ่นดินปาเลสไตน์-อิสราเอลมีหลายชนชาติเข้ามาจับจองพื้นที่สร้างบ้านเมืองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ชาวกันอาน (หรือ คันนาอัน) เป็นชนชาติอาหรับ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชาวปาเลสไตน์ (ในไบเบิลเรียกพื้นที่อาศัยของชาวกันอานว่า แผ่นดินกันอานหรือคันนาอัน) ชาวกิบบิโอน ชาวฟิลิสติน (ต่อมาชื่อฟิลิสตินนี้ได้แผลงมาเป็นชื่อ ปาเลสไตน์)     

       ต่อมาเมื่อชนชาติยิว ซึ่งอพยพมาจากอียิปต์ เข้ามาดินแดนแถบนี้และเริ่มรบพุ่งแย่งชิงดินแดนจากชนพื้นเมืองที่อยู่มาแต่เดิม จนสร้างอาณาจักรอิสราเอลขึ้น แต่ต่อมาก็ได้ถูกแบ่งแยกออกเป็นสองส่วน ตอนเหนือเรียกว่าอาณาจักรอิสราเอล ส่วนตอนใต้เรียกว่าอาณาจักรยูดาย            

     ถัดจากนั้นดินแดนแถบนี้ก็ถูกปกครองโดยกลุ่มชนหลายเผ่าพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นบาบิโลน อัสสิเรียน เปอร์เซีย กรีก โรมัน ในช่วงที่อยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ชาวยิวกลุ่มหนึ่งได้ลุกขึ้นแข็งข้อต่ออำนาจของจักรพรรดิติตัส ของโรมัน จักรพรรดิติตัสจึงสั่งทำลายกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ทางตอนเหนือเสียจนราบคาบ จนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ ๔ ปาเลสไตน์ก็ตกเป็นของชาวคริสต์ จักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งเข้ารีตคริสต์ได้สร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์ขึ้นในกรุงเยรูซาเล็ม กลายเป็นสถานที่ดึงดูดให้คริสต์ศาสนิกชนเข้ามาจาริกแสวงบุญกันมากขึ้น จนกลายเป็นศูนย์กลางระบบสงฆ์และนักบวชในศาสนาคริสต์ จนเกิดการสร้างโบสถ์และวิหารต่างๆ ตามมาอีกมากมาย            

             จนกระทั่งกลุ่มชาติอาหรับได้เข้ามาในดินแดนแถบนี้ในปี ค.ศ. ๖๓๗  ประชากรที่เคยนับถือคริสต์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนมานับถืออิสลามมากขึ้น จนประชากรส่วนใหญ่ก็ลายเป็นชาวมุสลิมไปจนเกือบทั้งหมด         

                
             ดินแดนนี้ได้ถูกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันครอบครองจากสองชนชาติคือ อาหรับมุสลิมและอาหรับคริสต์ มานานกว่า ๘๐๐ ปี ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่อาณาจักรออตโตมานได้ครอบครองนานถึง ๔๐๐ ปี  แต่ประชาชนในดินแดนแถบนี้มิได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแต่อย่างใด แม้แต่เชื้อชาติพลเมืองก็ยังคงเป็นชาวอาหรับเสียส่วนใหญ่ เหมือนก่อนหน้าที่พวกออตโตมานบริหาร  รวมถึงภาษา ประเพณี วัฒนธรรม ก็ยังคงเดิม


สิ่งที่เกิดขึ้นที่ กาซ่า

           ราวปี ค.ศ. ๑๘๙๗ ได้มีการก่อตั้งกลุ่มลัทธิไซออนนิสม์ (Zionist) โดยกลุ่มชาวยิวปัญญาชนและพ่อค้ายิวที่ทำมาหากินจนร่ำรวยจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะบนแผ่นดินอเมริกาและยุโรป มีจุดประสงค์เพื่อนำชาวยิวกลับมาตั้งถิ่นฐาน สร้างชาติยิวขึ้นมาใหม่บนแผ่นดินปาเลสไตน์ ซึ่งกลุ่มไซออนนิสต์ยึดมั่นในพระคัมภีร์ที่ว่า “พระเจ้าได้ประทานดินแดนแห่งนี้ให้กับชาวยิว”

          แต่ในขณะนั้นปาเลสไตน์ตกอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ กลุ่มไซออนนิสต์ใช้เวลานับสิบปีลงทุนกว้านซื้อที่ดินจากเจ้าของที่ดินชาวอาหรับอย่างถูกกฎหมาย และจัดการพัฒนาพื้นที่ที่เคยแห้งแล้งให้สามารถเพาะปลูกได้ ท่ามกลางความไม่พอใจของบรรดาชาวอาหรับเจ้าของที่ดินเดิม

         แต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้เพราะได้ทำการซื้อขายกันไปแล้วตามกฎหมายทุกประการ         

         ความขัดแย้งในการครอบครองดินแดนยังคงคุกรุ่นอยู่เรื่อยมา โดยมีกลุ่มไซออนนิสต์ดำเนินการอยู่ทั้งโดยเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนกระทั่งภาคพื้นยุโรปเกิดสงครามโลกขึ้นและได้ลุกลามขยายวงกว้างมายังดินแดนปาเลสไตน์

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ดร.คาอิม ไวช์มันน์ นักเคมีชาวยิวสมาชิกกลุ่มไซออนนิสต์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด และได้เปลี่ยนสัญชาติจากลัตเวียมาเป็นอังกฤษ ในปี ค.ศ. ๑๙๑๐ ได้ทำการคิดค้นดินระเบิดประสิทธิภาพสูงซึ่งสามารถผลิตเองได้โดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่าย

        เนื่องจากก่อนหน้านั้นกองทัพอังกฤษใช้ดินระเบิดคอร์ไดท์ ซึ่งอังกฤษผลิตเองได้แต่จำเป็นต้องใช้วัตถุดิบสำคัญคือ อาซีโทน (Acetone) โดยอาซีโทนนี้จำเป็นต้องสั่งเข้าจากเยอรมันซึ่งเป็นคู่สงคราม เมื่อไม่มีวัตถุดิบ อังกฤษจึงประสบปัญหาใหญ่ในการทำสงคราม จนกระทั่งได้ ดร.คาอิม มาช่วย อังกฤษจึงยังคงสามารถเข้าร่วมรบในสงครามโลกต่อไปได้      

      จากการช่วยเหลือของ ดร.คาอิม (ต่อมาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ กระทรวงทหารเรือของอังกฤษ ในช่วงปี ๑๙๑๖-๑๙๑๙) ทำให้อังกฤษซึ่งมีอิทธิพลเหนือดินแดนตะวันออกกลางในช่วงนั้น ตอบแทนโดยการมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้เป็นที่พักพิงถาวรของชาวยิว โดย ลอร์ด อาร์เธอร์ เจมส์ บาลฟอร์ (Lord. Arthur James Balfour) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอังกฤษในขณะนั้น เป็นผู้ลงนามใน “สนธิสัญญาบาลฟอร์”         


ฉนวนกาซ่า ปี 2546  

     ขณะเดียวกันก็เกิดสนธิสัญญาขึ้นซ้อนอีกหนึ่งฉบับที่ลงนามโดย เซอร์เฮนรี่ แม็กมาฮอน (Sir. Henry McMahon) ข้าหลวงใหญ่ของอังกฤษในอียิปต์ ซึ่งไปตกลงกับชาวอาหรับว่า หากชาวอาหรับช่วยอังกฤษทำสงครามกับเยอรมันแล้ว อังกฤษจะยกดินแดนบางส่วน รวมถึงปาเลสไตน์คืนให้แก่ชาวอาหรับ แต่เมื่อสิ้นสงคราม อังกฤษก็ยังคงยึดครองปาเลสไตน์โดยมิได้มอบให้แก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด  เนื่องด้วยฝ่ายยิวและอาหรับต่างก็อ้างสนธิสัญญาที่ตนเองถือเป็นข้ออ้างในการครอบครองดินแดน     

      ปี ค.ศ. ๑๙๒๓ องค์การสันนิบาตชาติ มอบหมายให้อังกฤษเป็นผู้ดำเนินการส่งมอบดินแดนปาเลสไตน์ให้แก่ชาวยิว แต่อังกฤษก็ยังคงครอบครองดินแดนไว้เพื่อใช้ต่อรองกับกลุ่มชาติอาหรับ ในการทำสงครามโลกครั้งที่ ๒ ซึ่งแน่นอนว่าภายหลังสงคราม ดินแดนเจ้าปัญหานี้ก็ยังไม่ได้ถูกส่งมอบให้แก่ฝ่ายไหนอยู่ดี อีกทั้งปัญหาการอพยพเข้ามาของชาวยิวจำนวนมากก็ยังเพิ่มทวีความวุ่นวายเข้าไปทุกขณะ โดยมีกลุ่มชาติอาหรับแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

     ปี ค.ศ. ๑๙๔๗ สมัชชาสหประชาชาติ ลงมติแบ่งดินแดนปาเลสไตน์ให้กับชาวยิว โดยแบ่งเอาดินแดนบางส่วนของซีเรียและอียิปต์ไปด้วย โดยมติดังกล่าวไม่ได้ขอความเห็นชอบจากชาวปาเลสไตน์เลยแม้แต่น้อย         

   การแบ่งดินแดนในครั้งนั้น ทำให้ปาเลสไตน์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวยิว และอีกส่วนหนึ่งเป็นที่อาศัยของชาวอาหรับ            

     ปี ค.ศ. ๑๙๔๘ มีการจัดตั้งรัฐยิวขึ้นอย่างเป็นทางการบนแผ่นดินปาเลสไตน์ โดยมี ดาวิด เบนกูเรียน (David Bengurion) เป็นผู้นำคนแรก โดยตั้งชื่อว่า รัฐอิสราเอล ส่งผลให้ชาวยิวที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้กลายเป็นชาวอิสราเอลไปโดยปริยาย ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้ชนชาติอาหรับ จนกลุ่มชาติอาหรับจัดตั้งกองกำลังบุกเข้าอิสราเอล    

         
     สงครามที่กินเวลายานาน ๘ เดือน ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของชาติอาหรับ แต่ก็ก่อให้เกิดการรบพุ่งกันต่อเนื่องมาอีกหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะ “สงคราม ๖ วัน” ในปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ประธานาธิบดี นัสเซอร์ แห่งอียิปต์ ส่งกองกำลังทหารกว่า ๗ แสนนาย จากความร่วมมือของ ๗ ชาติอาหรับ เข้าถล่มอิสราเอลที่มีกองกำลังเพียง ๒ แสนนายเท่านั้น เหตุการณ์กลับตาลปัตรกลายเป็นว่ายิวเป็นฝ่ายมีชัยในสงคราม อีกทั้งยังยึดดินแดนของฝ่ายชาติอาหรับมาเป็นของตน ไม่ว่าจะเป็นเขตกาซ่าตะวันออก แหลมซีนายของอียิปต์ ชายฝั่งตะวันตกบางส่วนของแม่น้ำจอร์แดน (เขตเวสต์แบงก์) ที่ราบสูงโกรันของซีเรีย นครเยรูซาเล็มฝั่งตะวันออก ซึ่งดินแดนที่ว่านี้ก็ยังถูกอิสราเอลครอบครองมาจนถึงปัจจุบัน นอกเหนือจากชัยชนะครั้งนี้แล้ว อิสราเอลยังฉวยโอกาสนี้ทำการขับไล่ชาวอาหรับออกจากจากดินแดนของตนเป็นจำนวนมาก      

       
      จากความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ ทำให้กลุ่มชาติอาหรับลดความนับถือต่อประธานาธิบดี นัสเซอร์ เป็นอย่างมาก และยังทำให้ “องค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์” (PLO : Palestine Liberation Organization) ที่เขาก่อตั้งขึ้น ต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายครั้งใหญ่ มีการเลือกประธานคนใหม่ที่มาพร้อมกับนโยบายที่แข็งกร้าวขึ้น นั่นคือ นายยัสเซอร์ อาราฟัต (Yasser Arafat)


     อาราฟัต เข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองมาตั้งแต่สมัยที่ยังศึกษาด้านวิศวกรรมศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยแห่งกษัตริย์ฟาฮัดที่ ๑ ณ กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ และได้เข้าร่วมเป็นทหารในกองทัพอียิปต์เมื่อครั้งสงครามคลองสุเอซ ในปี ค.ศ.๑๙๕๖ จากนั้นได้ไต่เต้าขึ้นมาสู่ตำแหน่งสำคัญๆ ในองค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ จนกระทั่งก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในที่สุด


     อาราฟัต พยายามอย่างยิ่งในการแสดงให้ชาวโลกยอมรับการมีตัวตนของชาวปาเลสไตน์และพยายามแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรม ในการกอบกู้ดินแดนของชาวปาเลสไตน์คืนจากอิสราเอล


    ในปี ๑๙๗๒ ณ เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี โดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ขบวนการกันยาทมิฬ” (Black September)กลุ่มนักรบปาเลสไตน์บุกเข้าหอพักนักกีฬาโอลิมปิก พร้อมกับจับตัวนักกีฬาชาวอิสราเอลจำนวน ๑๑ คนเป็นตัวประกัน โดยพวกเขาเรียกร้องให้รัฐบาลอิสราเอลปล่อยตัวนักโทษการเมืองชาวปาเลสไตน์ ๒๓๔ คน และอีก ๒ คนที่ถูกคุมขังอยู่ที่เยอรมัน พร้อมทั้งร้องขอเครื่องบินเพื่อเตรียมหลบหนีเข้าอียิปต์

อิสราเอล นำโดยนางโกลดา เมียร์ (Golda Mier) นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นซึ่งดำเนินนโยบายแข็งกร้าวต่อปาเลสไตน์และไม่ยินยอมเจรจากับผู้ก่อการ  ปฏิเสธข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ก่อการ และยังส่งหน่วยรบพิเศษที่เชี่ยวชาญในการชิงตัวประกันเข้ามาช่วยเหลือ แต่รัฐบาลเยอรมันปฏิเสธ เนื่องจากต้องการจัดการสะสางปัญหาด้วยตนเองเพื่อรักษาหน้าของเจ้าภาพโอลิมปิก หรืออีกประเด็นหนึ่งที่เป็นนัยยะแอบแฝง นั่นคือคือรัฐบาลเยอรมันต้องการแสดงความรับผิดชอบและลบล้างความผิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนั่นเอง

แต่ปฏิบัติการของทีมช่วยเหลือของเจ้าภาพผิดพลาด พลแม่นปืนของเยอรมันทำพลาดจนทำให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เมื่อตัวประกันเสียชีวิตหมดทั้ง ๑๑ คน ตำรวจเยอรมันเสียชีวิต ๑ นาย ผู้ก่อการร้ายเสียชีวิต ๕ ราย ถูกจับเป็น ๓ ราย

โศกนาฏกรรมครั้งนี้สร้างความเคืองแค้นให้อิสราเอลอย่างมาก เพราะนอกจากตัวประกันจะเสียชีวิตหมด บรรดาชาติต่างๆ ก็ดูเหมือนจะลืมเลือนเรื่องนี้กันอย่างรวดเร็ว โดยหันสนใจการแข่งขันโอลิมปิกแทน ทั้งที่เกิดเรื่องราวอันเลวร้ายเช่นนี้แต่นานาชาติกลับยังคงดำเนินการแข่งขันต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งเดียวที่มีการแสดงออกคือการลดธงลงครึ่งเสา ยกเว้นเพียงกลุ่มประเทศอาหรับที่ยืนยันไม่ยอมลดธง ซึ่งเป็นการประกาศเจตนารมณ์ที่ชัดเจนถึงความชอบธรรมในการก่อการครั้งนี้      

      อิสราเอลไม่ได้นิ่งนอนใจ พวกเขาลงมือปฏิบัติการตอบโต้อย่างทันควัน นางโกลดา เมียร์ ส่งฝูงบินอิสราเอลไปถล่มฐานปฏิบัติการขององค์การปลดปล่อยปาเลสไตน์ในซีเรียและเลบานอน รวมถึงการส่งหน่วยจารชนเข้าไปจัดการกับกลุ่ม PLO ทั้งในปาเลสไตน์ กลุ่มชาติอาหรับ และหลายพื้นที่ในยุโรปอย่างลับๆ 

     ซึ่งปฏิบัติการหลายครั้งสร้างความเสียหายขั้นรุนแรง แต่อิสราเอลก็ไม่ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบอีกทั้งปฏิเสธอย่างแข็งขันว่าพวกเขาไม่ได้อยู่เบื้องหลังการล้างแค้นดังกล่าว แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่าเหตุการณ์สะเทือนขวัญหลายครั้งเกิดขึ้นจากฝีมือของหน่วยสืบราชการลับอิสราเอล ที่เรียกตัวเองว่าพวก มอสสาด (Mossad)            

    หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติการด้วยความรุนแรงทั้งอย่างลับๆ และอย่างโจ่งแจ้งมาช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็พบว่าการใช้ความุรนแรงไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ผู้นำของ PLO และอิสราเอล ยอมหันหน้าเข้าหากัน โดยเจรจาผ่านทางสหประชาชาติในปี ๑๙๗๒ การประนีประนอมครั้งนี้เป็นผล ก่อให้เกิดการลงนามใน “ข้อตกลงสันติภาพออสโล ฉบับที่ ๑” ในปี ๑๙๙๓ เป็นการประกาศว่าโลกยอมรับให้มีดินแดนปกครองตนเองที่ชื่อปาเลสไตน์ ในเขตเวสต์แบงก์และฉนวนกาซ่า            

      จากข้อตกลงสันติภาพดังกล่าว ทำให้นายอาราฟัต ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ในปี ๑๙๙๔  ร่วมกับ พลเอกยิตซัค ราบิน (Yitzhak Rabin) และนายชิมอน เปเรส (Shimon Peres) นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอิสราเอลในสมัยนั้น            

     แต่แล้วความสงบสุขก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อกลุ่มชาวยิวหัวรุนแรงในอิสราเอล ไม่พอใจท่าทีที่ยอมอ่อนข้อของนายกฯ ราบิน จึงเกิดการลอบสังหารขึ้น ในปี 1995 ตามด้วยการลุกฮือของชาวปาเลสไตน์ จากนั้นสันติภาพก็ลอยห่าง ความขัดแย้งทวีเพิ่มขึ้น แม้นายอาราฟัตจะได้เป็นประธานาธิบดีปาเลสไตน์ในปีถัดมา แต่ความนิยมในตัวเขาก็ลดลงเนื่องจากผู้คนเห็นว่าเขาอ่อนข้อให้อิสราเอลจนเกินไป หนำซ้ำ นายอาเรียล ชารอน (Ariel Sharon) นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอิสราเอล ก็มีทีท่าแข็งกร้าว ไม่ยอมเจรจากับเขา เนื่องจากเห็นว่านายอาราฟัตยังแอบหนุนให้มีการใช้ความรุนแรงกับอิสราเอลอยู่

     เสรีภาพที่ได้มาทำให้ชาวปาเลสไตน์ปิติยินดี ออกมาฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่ มีการยิงปืนขึ้นฟ้าและลุกลามไปถึงขั้นจุดไฟเผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นสัญลักษณ์ของชาวยิว จากนั้นก็ชักธงชาติปาเลสไตน์ขึ้นยอดเสา แต่ขณะเดียวกันชาวยิวบางส่วนที่ยังอาศัยอยู่ในดินแดนนี้ก็เกิดความไม่พอใจ ออกมาก่อความวุ่นวายตามท้องถนนจนเกิดเป็นจลาจลไปทั่วเมือง   

ปัญหาปาเลสไตน์นับเป็นประเด็นความขัดแย้งที่สำคัญยิ่งของโลก เพราะมีมหาอำนาจหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  ที่ผ่านมาได้มีความพยายามกันแล้วหลายครั้งหลายคราที่จะแก้ไขปัญหาผ่านกระบวนการเจรจาแบบสันติวิธี แต่ท้ายที่สุดความพยายามเหล่านั้นก็ล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า ส่วนคณะปกครองปาเลสไตน์หรือรัฐบาลปาเลสไตน์ภายใต้การนำของกลุ่มฟาตะห์ (ซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นมาหลังการเจรจาสันติภาพที่กรุงมาดริดในปี ค.ศ. 1993) ก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่า การให้ความหวังต่อชาวปาเลสไตน์ทั้งมวลว่า พวกเขาจะได้รัฐเอกราชกลับคืนมา อันจะเป็นดินแดนที่ประกอบไปด้วยพื้นที่เหล่านี้รวมกันคือ ฉนวนกาซ่า ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน (West Bank) และเยรูซาเล็มตะวันออก ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นดินแดนที่อิสราเอลยึดครองอย่างผิดกฎหมาย มาตั้งแต่หลังสงคราม 6 วันในปี ค.ศ. 1967 

     ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1993 ที่กระบวนการสันติภาพได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งมีการตกลงเห็นพ้องกันว่า รัฐปาเลสไตน์จะได้รับการสถาปนาขึ้นภายในอีกไม่กี่ปีหลังจากนั้น แต่จนกระทั่งถึงบัดนี้ ชาวปาเลสไตน์ยังคงมีแต่ความว่างเปล่า ไม่เคยได้อะไรจากความหวังที่ตนตั้งหน้าตั้งตารอคอยเลย มิหนำซ้ำพวกเขากลับต้องทนทุกข์ทรมานจากมาตรการทางทหาร และการปิดกั้นทางเศรษฐกิจของฝ่ายอิสราเอล ส่วนทางด้านคณะปกครองปาเลสไตน์นั้น นับวันก็ยิ่งสร้างความผิดหวังให้แก่ประชาชนเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากจะไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว ยังมีการคอร์รัปชั่นกันภายในอย่างมโหฬารและมีความแตกแยกกันเองภายในกลุ่ม มิหนำซ้ำ นายยัซเซอร์ อารอฟัต ผู้นำหนึ่งเดียวของฟาตะห์ที่เป็นวีรบุรุษและสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ กลับต้องมาจบชีวิตลงในช่วงเวลาที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อนี้อีกด้วย

     เมื่อต้นปี ค.ศ. 2006 พรรคฮามาสชนะในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ จนสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล   ยังความไม่พอใจให้แก่กลุ่มอำนาจเก่าอย่างฟาตะห์เป็นอย่างยิ่ง นับจากนั้นเป็นต้นมากระบวนการที่จะโค่นล้มรัฐบาลฮามาสจึงเริ่มต้นขึ้น ทั้งจากภายในและภายนอกโดยมีสหรัฐฯและอิสราเอลเป็นแกนนำ แม้รัฐบาลฮามาสจะพยายามประนีประนอม โดยยอมแบ่งสรรอำนาจให้กลุ่มฟาตะห์อย่างที่ไม่เคยมีพรรคการเมืองที่ไหนทำกัน แต่ความพยายามเหล่านั้นก็ไม่เป็นผล ท้ายที่สุดเหตุการณ์จึงจบลงด้วยการปะทะต่อสู้กันอย่างดุเดือด เป็นสงครามกลางเมืองภายใน อันนำไปสู่การยึดอำนาจในเมืองกาซ่าโดยพรรคฮามาส ในขณะที่กลุ่มฟาตะห์ก็หันไปยึดครองเวสต์แบงค์ และจัดตั้งรัฐบาลขึ้นใหม่ที่นั่นเมื่อช่วงกลางปี 2007


วิวัฒนาการรุกล้ำแผ่นดินของปาเลสไต โดยยิวส์

    ซึ่งก็เท่ากับว่า ขณะนี้ดินแดนปาเลสไตน์ในอดีตไม่ได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนตามที่เข้าใจกันอีกต่อไปแล้ว แต่ยังเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน กลายเป็น 3 ส่วน คือ 1. อิสราเอล 2. กาซ่าภายใต้การนำของรัฐบาลฮามาส และ 3. เวสต์แบงค์ภายใต้การนำของรัฐบาลฟาตะห์ แน่นอนความแตกแยกในหมู่ปาเลสไตน์ในลักษณะเช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์

   การแบ่งแยกกันระหว่างกาซ่ากับเวสต์แบงค์ ยัง ผลประโยชน์เป็นของอิสราเอลที่ต้องการเห็นการแบ่งแยกเช่นนี้ดำเนินต่อไป และอิสราเอลก็คงจะทำทุกอย่างให้มีการแบ่งแยกกันอย่างจริงจัง เพราะการแบ่งแยกอย่างนี้จะก่อให้เกิดปัญหาชุดใหม่ที่ชาวปาเลสไตน์ต้องเสียเวลาหาทางแก้ไข ซึ่งเท่ากับเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของชาวปาเลสไตน์ จากความปรารถนาเดิมที่จะปลดปล่อยชาติ และหากปัญหานี้ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ มันก็จะเป็นปัจจัยที่เข้าไปทำลายความฝันของชาวปาเลสไตน์ ที่จะจัดตั้งรัฐเอกราชของตนเองขึ้นมา

   ในขณะที่พรรคฮามาสที่สามารถเข้ามาบริหารปาเลสไตน์นั้นอิสราเอลมองไว้เป็นกลุ่มหัวรุนแรงและใช้ทุกวิถีทางบีบการบริหารของพรรคฮามาส  และอิสราเอลเองมีแผนโดยอ้างความชอบธรรมในการใช้กำลังอย่างรุนแรง ซึ่งจริง ๆ แล้ว กาซ่าก็เป็นดินแดนเปิดสำหรับอิสราเอลอยู่แล้ว ที่จะสามารถรุกเข้ามาโจมตีทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศได้ตลอดเวลา

    ฮามาสเองตระหนักถึงผลลัพธ์อันนี้ดี เพราะฉะนั้น ฮามาสคงจะให้ความใส่ใจต่อการสร้างความสามัคคี และสร้างเอกภาพของผู้คนภายในเมืองกาซ่าเป็นลำดับแรก ในขณะเดียวกันก็คงไม่พยายามจะยั่วยุอิสราเอล และได้ตกลงหยุดยิงนาน 6 เดือนตั้งแต่  20 มิถุนายนถึง 19 ธันวาคม 2551

     ท้ายสุด วันที่ 27 ธันวาคม   2551 ที่ผ่านมาว่า กองทัพอิสราเอล ได้โจมตีทางอากาศซึ่งตั้งเป้าที่ฐานที่ตั้งเครื่องยิงจรวดของพรรคและแนวร่วมของฮามาส ซึ่งอยู่ในเขตชุมชนของฉนวนกาซ่า

    จากการยิงจรวดเข้าใส่อิสราเอลครั้งนี้  ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ  300 คน  และผู้บาดเจ็บมากกว่า 700 คน ในขณะเดียวกันทำให้ชาวอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในปาเลสไตน์ เสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 6 คน นับเป็นนองเลือดอย่างรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่ง ในประวัติศาสตร์การสู้รบอิสราเอลปาเลสไตน์นับตั้งแต่ได้เกิดข้อขัดแย้งมาเป็นเวลาหลายสิบปี 
 
    ขณะที่ชาวอิสราเอลจำนวนหนึ่งต้องอพยพครอบครัวหนีจากพื้นที่อันตรายใกล้ชายแดน หลังทางการอิสราเอลประกาศเตือนว่า ชาวบ้านอาจต้องตกอยู่ภายใต้การโจมตีของชาวปาเลสไตน์อีกหลาย วัน ทั้งนี้ แม้อิสราเอลถอนกำลังออกจากพื้นที่ยึดครองในฉนวนกาซาแล้ว แต่ทหารอิสราเอลยังควบคุมพื้นที่แถบชายแดนผ่านเข้าออกเขตฉนวนกาซา
 
    ทางการอิสราเอลระบุว่า การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลต่อฉนวนกาซ่าครั้งนี้ รวมทั้งการทิ้งระเบิดมากกว่า 100 ตัน ต่อบรรดาฐานที่มั่นหลักๆ ของฮามาส สร้างความตื่นตะหนกและความสับสนอย่างกว้างขวาง ขณะที่ควันสีดำพวยพุ่งเหนือดินแดนปาเลสไตน์

     ขณะที่นายเอฮุด บารัค รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลกล่าวว่า "ปฏิบัติการคาสต์ ลีด"(Operation Cast Lead)  เพื่อปราบปรามพรรคฮามาสครั้งนี้ จะยังคงดำเนินต่อไปตามความจำเป็น และแม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะต้องใช้เวลานานและเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ก็ถึงเวลาแล้วที่อิสราเอลจะต้องดำเนินการในเรื่องนี้และปราบปรามการบริหารงานของพรรคฮามาส

การแก้ปัญหาที่ท้าทายรัฐบาลโอบามา
    ความโกรธแค้น   การประท้วงและปฏิกิริยามากมายผ่านจอโทรทัศน์และโลกไซเบอร์ต่อปฏิบัติการของอิสราเอลคงจะเพิ่มดีกรีความรุนแรงอย่างแน่นอนดั่งที่นายคอเล็ด มีแชลล์ ผู้นำฮามาสซึ้งลี้ภัยอยู่ที่กรุงดามัสกัสของซีเรีย เรียกร้องให้มีการลุกฮือครั้งใหม่ของปาเลสไตน์เพื่อต่อต้านอิสราเอล พร้อมประกาศว่าจะมีการโจมตีพลีชีพครั้งใหม่ในอิสราเอลหลังยุติไปนาน 4 ปี

   ในขณะที่ผู้นำ กลุ่มประเทศสันนิบาตอาหรับได้ประณามอิสราเอลและมีมติจะเปิดการประชุมสุดยอดที่กรุงโดฮาร์ ของกาตาร์ ในวันที่ 2 มกราคม เพื่อหารือแนวทางยับยั้งการโจมตีของอิสราเอล โดยคณะรัฐมนตรีต่างประเทศกลุ่มอาหรับจะจัดการประชุมล่วงหน้า ในวันที่ 31 ธันวาคมนี้

สิ่งที่มองข้ามไปไม่ได้คือบทบาทของรัฐบาลอเมริกา เพื่อพิสูจน์ความสามารถในการแก้ปัญหาของประธานธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาที่มีนามเต็มว่าบารัก  ฮุสเซ็น โอบามา (ซึ่งมีเชื้อของบรรพบุรุษมุสลิม)

     ถึงแม้งานแรกๆ ของนายบารัก ฮุสเส็น โอบามาจะประกาศ  คือการแก้ปัญหาวิกฤตการเงินจนนำไปสู่ปัญหาด้านเศรษฐกิจในภาพรวมของสหรัฐและโลกทุนนิยม

    แต่เมื่อปัญหาปาเลสไตน์กับอิสราเอลประทุก่อนที่ท่านจะรับตำแหน่งไม่กี่วันจึงปฏิเสธไม่ได้ว่านท่านจะต้องรีบจัดการปัญหานี้อย่างเร่งด่วนพร้อมปัญหาเศรษฐกิจด้วยความสามารถของท่านและทีมงานโดยดูบทเรียนการจัดการปัญหาของรัฐบาลชุดก่อนๆ  โดยเฉพาะนโยบายของรัฐบาลบุชต่อโลกอาหรับและโลกมุสลิม

    นโยบายที่ท่านประกาศว่าจะโดดเดี่ยวกลุ่มฮามาสและเฮซบอลเลาะห์ ตลอดจนกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ที่ปฏิเสธที่จะละทิ้งการใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาหรือปฏิเสธสิทธิการดำรงอยู่ของอิสราเอล แต่ไม่ได้กล่าวถึงและไม่ใช้มาตรการใดๆเลยต่อการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์จะเข้าทางกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงในการกล่าวหาว่าโอบามาไม่ได้ต่างอะไรกับผู้นำอย่างบุชคือมีสองมาตรฐานในการจัดปัญหาความขัดแย้ง

     ในขณะเดียวกันท่านต้องพร้อมที่จะวิพากษ์วิจารณ์ถิ่นฐานชาวยิวในเขตแดนปาเลสไลน์ว่าไม่ได้ช่วยผลักดันให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้าต่อไปและจะมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไรในสถานการณ์ความรุนแรงในขณะนี้
          เป็นที่ทราบกันดีว่าในอดีตสหรัฐอเมริกา ได้ปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติของตน อย่างถึงที่สุด โดยใช้นโยบายความมั่นคงผ่านความเป็นมหาอำนาจทางทหาร   ดังจะเห็นได้จากบทบาท ทางการทูตและ การทหารที่แสดงออกมาในภูมิภาค ตะวันออกกลางระหว่างปี ๑๙๙๐ – ๒๐๐๘

        ปัญหาปาเลสไตน์ และอิสราเอลนั้นสหรัฐอเมริกาให้ความช่วยเหลืออิสราเอลปีละไม่ตำกว่า ๓,๐๐๐ ล้าน เหรียญ ทั้งนี้ยังไม่นับความร่วมมือทางทหารและการข่าวในเรื่องสำคัญหลายๆ เรื่องเมื่อเทียบ กับความช่วยเหลือที่ให้แก่ฝ่ายปาเลสไตน์  โครงการความช่วยเหลือปีละไม่ถึง ๕๐๐ ล้านเหรียญ

     เป็นที่ทราบกันดีว่ากระแสคลั่งไคล้โอบามาที่ลามไกลไปทั่วโลกส่วนหนึ่งมาจากความเป็นคนผิวสีและเชื้อสายมุสลิมของโอบามาทำให้คนในหลายประเทศ ไม่เว้นแต่คิวบา ประเทศที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหรัฐฯมาช้านานรู้สึกว่าใกล้ชิด

    ในขณะผู้คนจากตะวันออกกลาง มีความหวังว่าโลกน่าจะมีสันติภาพกับประธานาธิบดีสหรัฐฯคนนี้มากกว่าคนที่ผ่านๆเช่นกันเพราะความที่ท่านมีเชื้อสายมุสลิม

    โอบามานั้นมีพลังแห่งถ้อยคำสูงดั่งที่ท่านได้กล่าววรรคทองในสุนทรพจน์คืนวันที่ 4 พฤศจิกายน ที่ชิคาโก ต่อหน้าชาวโลกผ่านต่อหน้าเขา  หน้าจอโทรทัศน์ ผู้ฟังวิทยุ รวมไปถึงชุมชนในโลกไซเบอร์ เช่น  " หากใครยังกังขาว่าอเมริกาคือดินแดน ที่ทุกสิ่งสามารถเป็นไปได้จริงหรือไม่ ใครก็ตามที่ยังสงสัยว่าความใฝ่ฝันของผู้ก่อตั้งประเทศยังคงมีอยู่ในยุคสมัยของเราหรือไม่ ใครก็ตามที่ยังตั้งคำถามต่อพลังแห่งประชาธิปไตยนั้น ค่ำคืนนี้เอง (หมายถึงคืนวันที่ 4 พฤศจิกายน) ที่เป็นคำตอบของคุณ "หรืออีกส่วนหนึ่งเขากล่าวถ้อยคำที่กินใจว่า " ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเราไม่ได้มาจากอำนาจทางทหาร หรือ ความมั่งคั่ง แต่คืออำนาจที่ยั่งยืนของอุดมการณ์ ประชาธิปไตย เสรีภาพ โอกาส และความหวังที่ไม่มีวันเสื่อมสลาย อัจฉริยภาพที่แท้จริงของอเมริกา คืออเมริกาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ประเทศของเราจะสมบูรณ์แบบขึ้นได้ และสิ่งที่เราบรรลุคือความหวังให้กับสิ่งที่เราสามารถและจะต้องบรรลุให้ได้ในวันพรุ่งนี้


ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน

     ที่สำคัญความสามารถในการแสดงสุนทรพจน์และการพูดของท่านจะมีส่วนสำคัญหรือไม่ในการแก้ปัญหาปาเลสไตน์-อิสราเอลครั้งใหม่นี้    โลกโดยเฉพาะผู้คนในตะวันออกลางกำลังรอคำตอบในเชิงรูปธรรมจากท่าน

   หากไม่ วิกฤตความขัดแย้งตะวันออกกลางครั้งนี้ จะส่งผลกระทบต่อการแก้ปัญหาความขัดแย้งและสันติภาพของโลก  ตลอดปีใหม่ 2552 อย่างแน่นอน

    หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าปัญหาปาเลสไตน์-อิสราเอลครั้งใหม่คือจุดประทุการก่อการร้ายปี 2552

หมายเหตุเรียบเรียงจาก
อิสราเอล-ปาเลสไตน์ คู่แค้นถาวรแห่งตะวันออกกลาง By janghuman janghuman.wordpress.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น